วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เจาะปัญหาระบบเกษตรกรไทย


เกษตรกร, การเกษตร, เกษตรกรรม
เจาะปัญหาระบบเกษตรกรไทย
บทวิเคราะห์: เจาะปัญหาระบบเกษตรกรไทย 

ตอน ปัจจัยที่บั่นทอนอาชีพทางการเกษตร

นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงถือว่าภาคเกษตรกรรมเป็นภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ ที่สามารถทำรายได้เข้าประเทศในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ปัญหาการหวั่นวิตกต่อภาวะอาหารขาดแคลน ยิ่งทำให้ความสำคัญของอาชีพเกษตรกรรมทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
แต่ในทางกลับกัน เกษตรกรถือเป็นอาชีพที่มีจำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของ ดร.อนันต์ ดาโลดม นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย พบว่า เมื่อปี 2532 มีจำนวนเกษตรกรอยู่ที่ร้อยละ 67 แต่กลับลดเหลือเพียงร้อยละ 40 ในปี 2552 โดยเกษตรกรภาคอีสาน มีจำนวนสัดส่วนสูงสุด เมื่อเทียบกับเกษตรกรภาคอื่นๆ คิดเป็น 47% ของประชากรในภาคเกษตรทั้งหมด รองลงมาคือภาคเหนือ 23% ภาคกลางและภาคใต้ ตามลำดับ

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลการวิจัยแนวโน้มความต้องการแรงงานใน 5 ปีข้างหน้า (2553-2557) ของกองวิจัยตลาดแรงงาน กระทรวงแรงงาน เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาพบว่า สาขาอาชีพที่คาดว่ามีความต้องการแรงงานมากใน 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ 1.ผู้ปฏิบัติงานด้านการเพาะปลูกพืชไร่และพืชผัก 2.พนักงานขายสินค้าในร้านค้า 3.พนักงานสาธิตสินค้า 4.ผู้ปฏิบัติงานด้านการปลูกไม้ยืนต้นและผลไม้
โดยในภาคเกษตรกรรม คาดว่าจะมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น (ระหว่างปี 2553-2557) ประมาณ 14.2 ล้านคน 14.7 ล้านคน 15.2 ล้านคน 15.8 ล้านคน และ 16.3 ล้านคน ตามลำดับ โดยการเกษตร มีความต้องการมากที่สุด รองลงมา คือ ป่าไม้ และประมง
จะเห็นได้ว่าสัดส่วนความต้องการเข้าสู่ภาคการเกษตรมีจำนวนที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้น....แต่เหตุใดภาคเกษตรกรยังถือได้ว่ามีจำนวนประชากรที่น้อยลงเรื่อยๆ ในแต่ละปี?? หากมองถึงอายุของผู้ทำอาชีพเกษตรกร พบว่ามีอายุเฉลี่ยที่ประมาณ 45 ปี นั่นหมายความว่า ผู้ที่ผันตัวเข้ามาทำอาชีพทางการเกษตรมีอายุเฉลี่ยนในการเริ่มต้นงานสูงกว่าอาชีพอื่นๆ หรือไม่????

เหตุใดผู้ที่หันมาทำอาชีพเกษตรกรรมจึงมีอายุเฉลี่ยสูง และอาชีพดังกล่าวกลับไม่เป็นที่นิยมมากนัก สำนักข่าวแห่งชาติ ประเมินว่า อาจเนื่องมาจากเหตุผลหลายประการ
1) จากวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาที่แรงงานบางส่วนถูกปลดออกจากงานทำให้ความต้องการผันตัวสู่อาชีพทางการเกษตรมีมากขึ้น อาชีพเกษตรกรรมจึงกลายเป็นอาชีพทางเลือก และเนื่องจากเกษตรกรรมต้องอาศัยแรงงาน ความอดทนในการทำงาน รวมถึงไม่มีรายได้ที่แน่นอนตายตัวอย่างอาชีพอื่นๆ
2) อาชีพเกษตรกรรมถือเป็นอาชีพที่มีภาวะหนี้สินสูง ซึ่งอาจเป็นเหตุหนึ่งของการเป็นอาชีพทางเลือก โดยตัวเลขหนี้สินของเกษตรกรที่ทำการสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 พบว่า เกษตรกรที่มีที่ดินและเช่าที่ดินทำกิน มีหนี้สินเฉลี่ย 107,230 บาท ส่วนเกษตรกรรับจ้าง มีหนี้สินเฉลี่ย 62,995 บาท หรือหมายความว่ามีจำนวนเกษตรกรที่มีภาระหนี้คิดเป็นร้อยละ 76.70 ของเกษตรกรทั้งหมด หากคำนวณโดยใช้ฐานข้อมูลดังกล่าว หนี้สินโดยรวมของครอบครัวเกษตรกรทั้งประเทศจะมีขนาดประมาณ 4.5 – 7.5 แสนล้านบาท
นับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา มีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกองทุนฟื้นฟู ประมาณ 300,000 – 400,000 ราย มีมูลค่าหนี้มากกว่า 100,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีจำนวน 100,000 รายที่ที่ดินและทรัพย์สินกำลังจะถูกขายทอดตลาด กองทุนสามารถดำเนินการชำระหนี้สิน (ระหว่างปี 2549 – 31 มี.ค.2552) ได้เพียง 6,515 ราย หรือคิดเป็น 2% ของเกษตรกรที่ลงทะเบียนไว้เท่านั้น
ทั้งนี้พบว่า เมื่อเกษตรกรไม่สามารถชำระหนี้สินได้จะใช้วิธีการกู้ยืมเงินจากกลุ่ม องค์กร แล้วนำดอกเบี้ยไปชำระหนี้ธนาคารแทน และเมื่อได้รับอนุมัติเงินกู้รอบใหม่จากธนาคาร ก็จะนำเงินดังกล่าวส่วนหนึ่งไปชำระหนี้กลุ่ม องค์กร หนี้สินเกษตรกรจึงเพิ่มขึ้นกลายเป็นหนี้ที่ยากจะใช้คืนได้
3) ปัญหาจากการไม่มีที่ดินทำกิน จากการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรพบว่าเกษตรกร 59.73 ต้องเช่าที่ดินทำกิน โดยภาคเหนือ และภาคกลางถือครองที่ดินทำกินในสัดส่วนต่ำมาก เพียง 24.7% และ 30% ตามลำดับ ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้มีตัวเลขการถือครองที่ดินของตนเองใกล้เคียงกันคือ 46.97% และ 48.24% ตามลำดับ ขณะเดียวกันพบว่า ค่าเช่าที่ดินเพื่อการทำนาในหลายพื้นที่เพิ่มสูงขึ้น 2-4 เท่าตัว ตั้งแต่ปลายปี 2550 จนถึงกลางปี 2551

นอกจากที่ดินทำกิน แหล่งน้ำยังถือเป็นปัจจัยสำคัญทางการเกษตรก็ถือเป็นอุปสรรคประการหนึ่ง เพราะจากการสำรวจพบว่า ครัวเรือนเกษตรเพียงร้อยละ 26.28 เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในเขตชลประทาน โดยเขตชลประทานส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาคการเกษตรอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาต้นทุนการผลิตสูงจากราคาปุ๋ยเคมี ปัญหาสภาพฤดูกาล รวมถึงราคาของสินค้าทางการเกษตรที่ถูกกดโดยพ่อค้าคนกลาง และค่าขนส่ง เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทย ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรต้องมีการมองถึงสภาพของปัญหาดังกล่าวในรูปแบบองค์รวมที่นอกเหนือจากการพยุงราคาทางการตลาด เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรไทย และส่งเสริมอาชีพที่เป็นปัจจัยสำคัญของประเทศในอนาคต

พิมพิดา โยธาสมุทร เรียบเรียง

ชูชาติ เทศสีแดง บรรณาธิการ

ที่มา thainews.prd.go.th

---Advertisement---