วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
การปลูก บรอกโคลี
การปลูก บรอกโคลี
กะหล่ำดอกอิตาเลียนหรือที่คนไทยโดยทั่วไปเรียกตามชื่อสามัญว่า บล็อคโคลี (Broccolli) ลักษณะของบร๊อคโคลีคือ มีใบกว้างสีเขียวเข้มออกเทา ริมขอบใบเป็นหยัก ทรงพุ่มใหญ่เก้งก้าง ลำต้นใหญ่และอวบ ดอกอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ช่อหนาแน่นดูเป็นฝอยๆ สีเขียวเข้ม ดอกมีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 16 เซนติเมตร โดยทั่วไปนิยมกินตรงส่วนที่เป็นดอกและลำต้นนิยมรองลงมา แต่ในด้านคุณค่าทางอาหารโดยเฉพาะวิตามินซี
แหล่งที่ปลูกบล็อคโคลีกันมาก ได้แก่ เพชรบูรณ์ กรุงเทพฯ กาญจนบุรี ช่วงที่เหมาะสมคือเดือนตุลาคม-มกราคม อุณหภูมิที่ชอบประมาณ 18-27 องศาเซลเซียส
พันธุ์บล็อคโคลีมีอยู่หลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทยได้คือ
1. พันธุ์เด ซิกโก (De Cicco) มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 60
2. พันธุ์ ซากาต้า หรือพันธุ์ Green Duke อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 60 วัน
3. พันธุ์ กรีน โคเมท (Green Comet) เป็นพันธุ์จากญี่ปุ่น เก็บเกี่ยวได้เร็ว ประมาณ 40 วัน
ให้ผลผลิตสูงมีลักษณะตรงตามความต้องการของตลาด
4. พันธุ์ของเจียไต๋ ให้ผลผลิตสูงและนิยมปลูก
การเตรียมดิน
แปลงเพาะกล้า ขุดพลิกดินลึกประมาณ 15 เซนติเมตร ตากดินไว้ 5-7 วันทำการย่อยพรวนดินให้แตกเป็นก้อนเล็ก ผสมปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก หรือใส่ปุ๋ยขี้เป็ดผสมกากถั่ว ในอัตรา 300 ก.ก. / ไร่ ควรเตรียมแปลงเพาะกล้าขนาดประมาณ 5-10 ตารางเมตร แปลงปลูก ขุดพลิกดินลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้สัก 7-10 วันแล้วย่อยพรวนดิน ใส่ปุ๋ยขี้เป็ดหรือปุ๋ยคอกอื่น ๆ ในอัตราประมาณ 300 ก.ก. / ไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินที่มีค่า พี เอช เกิน 6-6.8
การเพาะกล้า
บล็อคโคลี เป็นผักตระกูลกะหล่ำที่มีทรงพุ่มใหญ่กว่าผักจำพวกกินใบต้องการระยะการปลูกระหว่างต้นพอสมควร จึงควรจะเพาะกล้าในแปลงเสียก่อน แล้วจึงค่อยย้ายกล้าให้ได้ระยะตามต้องการ การหว่านเมล็ดในแปลง การเพาะกล้าเพื่อใช้ปลูกในเนื้อที่ 1 ไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 100-150 กรัมหว่านลงในแปลงปลูกขนาด 5-10 ตารางเมตร
การปลูก
หลังจากต้นกล้ามีอายุ 25-30วัน จึงทำการถอนกล้าไปปลูก คือทำการถอนกล้าเอาไว้ก่อนในเวลาเช้าตอนแดด ยังอ่อนๆ ก่อนถอนกล้ารดน้ำในแปลงก่อน วิธีถอนโดยใช้มือดึงตรงส่วนใบขึ้นมาตรงๆ ไม่ใชจับที่ลำต้น เพราะอาจจะทำให้ช้ำได้ นำมาปลูกในแปลงปลูกที่เตรียมรดน้ำเอาไว้แล้ว ใช้นิ้วชี้เจาะดินเป็นรูปักต้นกล้า ลงไปแล้วกดดินพอประมาณไม่ต้องถึงกันแน่น ระยะปลูกระหว่างต้นห่างประมาณ 30-60 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวห่างประมาณ 50-100 เซนติเมตร สำหรับการเลือกกำหนดระยะปลูกให้ห่างเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะอากาศ ถ้าอากาศค่อนข้างร้อนก็ปลูกถี่หน่อย ถ้าอากาศเย็นก็ปลูกห่างผลของการ ผลของการปลูกห่างก็คือจะทำให้ลำต้นโตได้เต็มที่ไม่ต้องเบียดกัน จะทำให้ได้ดอกใหญ่ขึ้นน้ำหนักต่อต้นสูง และไม่เกิดโรคเน่า ที่เกิดจากต้นพืชเบียดแน่นกันเกินไป ลังจากปลูกแล้วคลุมดินด้วยฟางแห้ง หรือหญ้าแห้งบางๆ เพื่อช่วยให้ต้นกล้าตั้งตัวได้เร็ว ช่วยรักษาความชื้นของดิน
การให้น้ำ
การให้น้ำแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกหลังจากที่ปลูกใหม่ ๆ พืชไม่ต้องการน้ำมากนักแต่ต้องการอย่างสม่ำเสมอ
ในปริมาณพอดีๆ อย่าให้แฉะเกินไประยะนี้รดน้ำวันละ 2 เวลา เช้า-เย็น ระยะที่สอง คือเมื่อลำต้นเจริญเติบโตเป็นต้น
ใหญ่จนถึงระยะเกิดดอกผักต้องการน้ำมากขึ้น เพราะเมื่อผักโตก็เกิดการสูญเสียน้ำได้ง่ายขึ้น และตอนพัฒนาการ
ของดอกน้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะทำให้ดอกเจริญเติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอและสมบูรณ์เพราะฉะนั้นจะขาดน้ำไม่ได้
การให้น้ำสำหรับระยะนี้ให้วันละ 2 – 3 เวลา ในปริมาณที่มากขึ้นกว่าช่วงแรก
การใส่ปุ๋ย
ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ใส่หลังจากปลูกได้ประมาณ 15 วัน แบบโรยข้างแถวแล้วพรวนดินกลบ
และใส่ปุ๋ยเสริมโดยใช้ ปุ๋ยชีวภาพ หรือปุ๋ยน้ำอินทรีย์ ใช้ในอัตรา 30-50 ซีซี.(3-5 ช้อนโต๊ะ)
ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน (ฉีดช่วงเช้าจะดีที่สุด)
โรคที่สำคัญ
โรคที่พบมากก็คือ โรคเน่าเละ ทำให้ต้นเน่ายุบลงไปทั้งต้น เกิดจากมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปทางบาดแผลที่หนอนหรือเชื้อราทำลายไว้ก่อนโรคเน่า และมักพบเกิดร่วมกับโรคไส้ดำที่เกิดจากขาดธาตุโบรอน ซึ่งโรคนี้จะทำความเสียหายแก่ต้นผักทั้งต้น เมื่อพบเห็นต้นที่เป็นโรคระบาดควรรีบถอนไปทำลายทิ้งเสีย และหากมีระบาดมาก ไม่ควรจะปลูกพืชตระกูลนี้ซ้ำที่อีก ควรเปลี่ยนไปปลูกพืชตระกูลอื่นหมุนเวียนบ้าง
แมลงที่สำคัญ
จุดที่แมลงศัตรูของผักบร๊อคโคลีเข้าทำลายก็คือใบและดอกโดยที่เป็นผักที่เรานิยมรับประทานดอกและลำต้นเกษตรกรจึงไม่กังวลถึงความสวยงามของใบเวลาขาย แต่ถ้าหากพบว่ามีแมลงศัตรูระบาดก็จำเป็นต้องฉีดพ่นยาป้องกันกำจัดเสีย เพื่อมิให้ระบาดไปยังดอกหรือระบาดไปต้นอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ผักเจริญเติบโตได้ไม่ดี แมลงศัตรูที่พบ ได้แก่ หนอนคืบกะหล่ำ หนอนใยผัก หนอนกะหล่ำปลี หนอนกระทู้หอม
การเก็บเกี่ยว
อายุของบร๊อคโคลีนับตั้งแต่วันย้ายปลูกจนถึงวันตัดขายได้ ประมาณ70-90 วัน โดยเลือกตัดดอกที่มีกลุ่มดอกเกาะตัวกันแน่น โตขนาดประมาณ 10-16 เซนติเมตร และต้องรีบตัดดอกก่อนที่จะกลายเป็นสีเหลืองตัดใบออกให้เหลือติดดอกประมาณ2ใบเพื่อเอาไว้พันรอบดอกเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับดอกในระหว่างการขนส่ง ผลผลิตในฤดูร้อนจะได้ประมาณ 1,300-1,500 ก.ก. / ไร่ แต่ถ้าในฤดูหนาวจะได้ผลผลิตถึง 2,000-3,000 ก.ก. / ไร่
ที่มา โรงเรียน ร้องกวางอนุสรณ์ จังหวัดแพร่