ความสำเร็จในวิชาชีพเกษตรกรรม
นอกจากความอุตสาหะ ความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นทุมเทแรงกาย แรงใจแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่จะส่งผลต่อความสำเร็จในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอีกหลายปัจจัย ที่สำคัญได้แก่ ปัจจัยทางกายภาพ ปัจจัยทางชีวภาพ และปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม ที่ต้องนำมาพิจารณาคัดเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับสภาพไร่นาของตน เพื่อให้ได้ผลิตผลที่มีปริมาณและคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด
ปัจจัยแรก คือ ปัจจัยทางกายภาพ ประกอบด้วย ดินและน้ำ
ดิน ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของการทำการเกษตร เนื่องจากเป็นแหล่งอาหารของพืช ที่จะทำให้ผลผลิตสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่มีส่วนประกอบของธาตุอาหาร สำคัญ คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม รวมทั้งอินทรียวัตถุและธาตุอาหารรองอื่นๆ ที่จำเป็นต่อ การเจริญเติบโตของพืช
สภาพที่ดินของประเทศไทยมีหลายลักษณะ จึงทำให้มีผลผลิตทางการเกษตรหลากหลายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพท้องถิ่น มีการจำแนกสภาพพื้นดินของไทยแบ่งออกได้ดังนี้ คือ ที่สูง หมายถึง พื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป มีสภาพอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี จึงเหมาะสำหรับปลูกเมืองหนาวเช่น ลิ้นจี่ ลำไย เชอรี่ ท้อ ไม้ดอกไม้ประดับ และพืชผักเมืองหนาว ที่ดอน คือ พื้นที่ที่ส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนในการเพาะปลูก เหมาะแก่การปลูกข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วเขียว มันสำปะหลัง ปอ และข้าวไร่ ส่วนบริเวณที่สามารถเก็บกักน้ำได้จะใช้ทำนา ในแหล่งที่มีปริมาณฝนน้อยจะเหมาะสมกับการเลี้ยงสัตว์ และมะม่วง หิมพานต์ มะขามหวาน ซึ่งเป็นไม้ผลที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ ที่ราบลุ่ม เหมาะสมสำหรับการทำนาโดยเฉพาะในเขตชลประทาน ซึ่งดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มีน้ำอย่างพอเพียงจะสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้งขึ้นไป บางแห่งเกษตรกรจะปรับเปลี่ยนสภาพนาเป็นร่องสวน เพื่อใช้ปลูกพืชผัก และปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น หรือขุดบ่อเลี้ยงปลาและกุ้ง และที่ลุ่มน้ำลึก พื้นที่ดังกล่าวเหมาะสำหรับปลูกข้าวขึ้นน้ำ
คุณภาพของดิน มีความสำคัญในการเกษตรเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีผลโดยตรงและทางอ้อมต่อพืชที่ปลูก ผลทางตรงจะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ส่วนผลทางอ้อมหากปลูกพืชในดินที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส เมื่อนำพืชที่ขาดธาตุฟอสฟอรัสไปเลี้ยงสัตว์จะมีผลทำให้กระดูกสัตว์ไม่แข็งแรงและเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ นอกจากนี้ การเพาะปลูกพืชจะให้ได้ผลดีต้องมีหน้าดินลึกอย่างน้อย 1 เมตร เพื่อให้รากพืช
สามารถหยั่งลงได้ลึกและหาอาหารได้ดีขึ้น
เนื้อดิน แบ่งออกเป็น ดินเหนียว ดินร่วน ดินทราย และดินตะกอน ในบริเวณที่เป็นดินตะกอนมักเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ ดินร่วนนอกจากมีความอุดมสมบูรณ์สูงแล้วยังสามารถระบายน้ำได้ดีกว่า ดินเหนียวอีกด้วย ดินทรายเป็นดินเนื้อหยาบมีธาตุอาหารต่ำ และถูกชะล้างได้ง่ายจึงไม่เหมาะสำหรับ การเพาะปลูก ดินกรดหรือดินที่ชาวบ้านเรียกว่าดินเปรี้ยวมีสมบัติทางเคมีไม่เอื้อต่อ
การเจริญเติบโตของพืช ชาวบ้านใช้วิธีบ้วนน้ำหมากลงในน้ำดินที่เป็นกรด หากน้ำหมากเปลี่ยนจากสีแดงเป็น สีดำคล้ำทันทีแสดงเป็นดินเปรี้ยว วิธีแก้ความเป็นกรดทำได้ด้วยวิธีการใส่ปูนขาว หินปูน หรือปูนมาร์ล เพื่อลดความเป็นพิษของเหล็กและอลูมินั่มในดินลง นอกจากนี้ยังช่วยให้ฟอสฟอรัสในดินเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น ส่วนดินเค็ม เป็นดินที่มีเกลืออยู่ปริมาณมากจนเป็นอันตรายต่อพืช วิธีแก้ไขทำได้โดยไม่ปล่อยให้หน้า ดินแห้ง เพราะจะทำให้น้ำใต้ดินนำเกลือขึ้นมาสะสมบนหน้าดิน หากดินยังมีความเค็มอยู่ให้เลือกปลูกข้าวพันธุ์ ขาวดอกมะลิ 105 ละมุด พุทรา มะขาม มะพร้าว และมะม่วงหิมพานต์ เนื่องจากสามารถทนต่อความเค็มได้ดี
อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงและรักษาสมบัติของดินเพื่อการเกษตรกรรม ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เนื่องจากใช้เพาะปลูกพืชมานาน จำเป็นต้องปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อ การเพาะปลูกพืชหรืออย่างน้อยควรรักษาระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินไม่ให้เสื่อมลง วิธีการปรับปรุงบำรุงดินทำได้หลายวิธี ได้แก่ การใช้ปุ๋ย เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยยกระดับผลผลิตให้สูงขึ้น ปุ๋ยที่ใช้มี 2 ชนิด ชนิดแรกคือ ปุ๋ยเคมี ที่มีส่วนประกอบสำคัญของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม หรืออาจมีธาตุรองอื่นๆ รวมอยู่ด้วยก็ได้ ความต้องการปุ๋ยนั้นขึ้นอยู่กับชนิดและระยะการเจริญเติบโตของพืช ปุ๋ยเคมีเป็นธาตุที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว และเกษตรกรใช้ได้สะดวก ปุ๋ยชนิดที่ 2 คือ ปุ๋ยอินทรีย์ ได้จาก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชนิดดังกล่าวนอกจากจะเพิ่มธาตุอาหารในดินแล้วยังช่วยปรับปรุงดินให้ ร่วนซุย ไถพรวนง่ายดูดซับน้ำได้ดีแล้ว ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถใช้วัสดุเหลือใช้ในไร่นามาใช้ประโยชน์ได้ การปลูกพืชหมุนเวียนนิยมปลูกพืชตระกูลถั่วร่วมอยู่ด้วย เนื่องจากพืชตระกูลถั่วมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ที่ปมราก สามารถตรึงไนโตรเจนให้เป็นประโยชน์ต่อพืชได้และการปลูกพืชคลุมดินจะช่วยไม่ให้หน้าดินถูกชะล้างได้ง่ายโดยเฉพาะในพื้นที่ลาดชัน
น้ำ เป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์ของพืช สัตว์ และปลา น้ำช่วยละลายธาตุอาหารในดิน ทำให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น น้ำช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายของสัตว์และในต้นพืชในขณะที่มีอุณหภูมิสูง แหล่งน้ำที่นำมาใช้ในการเกษตร ส่วนมากได้มาจากน้ำฝน ห้วย หนอง คลอง บึง หรือได้จากเขื่อนโครงการชลประทานนต่างๆ ดังนั้น การทำกิจกรรมการเกษตรใดๆ จะต้องพิจารณาถึงแหล่งน้ำเพื่อใช้เพาะปลูกพืชในฤดูแล้งด้วย การเลี้ยงปลาต้องใช้น้ำมากกว่าการเลี้ยงสัตว์ ฉะนั้นปริมาณของน้ำจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวควบคุมขนาดของพื้นที่การเกษตร อุณหภูมิ ปริมาณฝน แสงแดด และความเร็วลม รวมเรียกว่า สภาพลมฟ้าอากาศ ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ พืชและสัตว์แต่ละชนิดมีความต้องการอุณหภูมิ และแสงแดดแตกต่างกันไป เช่น แม่พันธุ์วัวนมที่นำเข้าจากต่างประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น เมื่อนำมาเลี้ยงในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนจัดในบางฤดูกาล แม่วัวจะให้น้ำนมน้อยลง จึงจำเป็นต้องปรับปรุงพันธุ์ด้วยการผสมพันธุ์กับพันธุ์พื้นเมือง เพื่อให้ได้พันธุ์ลูกผสมที่ทนต่อสภาพแวดล้อมของไทยได้ดี ขณะเดียวกันก็สามารถให้ปริมาณน้ำนมสูงใกล้เคียงกับแม่พันธุ์เดิม
ปัจจัยที่ 2 ปัจจัยทางชีวภาพ มักมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม และปัจจัยทางกายภาพ เช่น ในภาคใต้มีฝนตกชุก ดินอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรจึงนิยมปลูกยางพาราเป็นพืชหลัก ซึ่งมี ความเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือการกระจายของน้ำฝนไม่สม่ำเสมอ อีกทั้ง ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ บางส่วนเป็นดินเค็ม เกษตรกรต้องคัดเลือกปลูกมันสำปะหลัง ปอ ข้าวฟ่าง และมะม่วง หิมพานต์ เนื่องจากทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี ในบริเวณที่ลุ่มสามารถเก็บกักน้ำได้ เกษตรกรจะปลูกข้าวเหนียวไว้บริโภคในครัวเรือน ภาคเหนืออากาศหนาวเย็น เกษตรกรเลือกปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ผักสลัด กะหล่ำปลี กุหลาบ สตรอเบอรี่ ลำไย ลิ้นจี่ และท้อ เป็นต้น ในที่ลุ่มภาคกลางมีระบบการชลประทานที่สมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งผลิตข้างที่สำคัญของประเทศ การปลูกข้าวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงทำให้โรคและแมลงศัตรูพืชระบาดอย่างรุนแรง ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องเปลี่ยนพันธุ์ข้าวทุก 3-5 ปี เช่น ในจังหวัดสุพรรณบุรีการใช้เปลี่ยนการใช้พันธุ์ข้าวจาก กข 7 และสุพรรณบุรี 60 มาใช้ สุพรรณบุรี 90 ปทุมธานี 1 และชัยนาท 1 ทดแทน เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
ชนิดและพันธุ์ สัตว์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยง วัวขุน นิยมเลี้ยงพันธุ์อเมริกันบราห์มันมาเป็นเวลานาน แต่เมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา กลับนิยมเลี้ยงวัวพันธุ์ อินดูบราซิลที่มีราคาแพงเนื่องจากมีความสวยงาม ต่อมาราคาตกต่ำลงมาก เนื่องจากผู้เลี้ยงให้ความนิยมน้อยลง ในกรณีตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง คือ การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในที่ลุ่มภาคกลางซึ่งเป็นกุ้งน้ำจืด ส่วนกุ้งกุลาดำนิยมเลี้ยงกันตามชายฝั่งทะเล กุ้งทั้งสองชนิดจะมีตลาดรองรับต่างกัน กุ้งกุลาดำจะส่งจำหน่ายไปยังต่างประเทศ ส่วนกุ้งก้ามกรามจะจำหน่ายภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ข้อด้อยของกุ้มก้ามกรามเมื่อถอดหัวและแช่แข็งเพื่อส่งออกจะทำให้น้ำหนักเหลือน้อยลง อีกทั้งเนื้อจะฟ่ามสู้กุ้งกุลาดำไม่ได้
ปัจจัยสุดท้าย คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม นับว่ามีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทาง การพัฒนาการเกษตรเป็นอย่างมาก ดังนั้นปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่ควรนำมาร่วมพิจารณา คือ “แรงงาน”จะต้องสอดคล้องกับขนาดพื้นที่ กิจกรรมที่ทำ เช่น ถ้ามีพื้นที่เท่านั้นการปลูกผักจะใช้แรงงานมากกว่าการปลูกพืชไร่ หรือการเลี้ยงโคนมต้องใช้แรงงานมากกว่าวัวเนื้อ “ทุน” ก็เป็นปัจจัยการผลิตมีที่ทั้งตัวเงิน และไม่ใช้ตัวเงิน ซึ่งได้แก่ พันธุ์สัตว์ พันธุ์พืช เครื่องมือ เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดเล็กและโรงเรือน จัดเป็นทุนประเภทคงทนถาวร ส่วนเมล็ดพืช อาหารสัตว์ สารเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และเงินที่ใช้จ่ายในการดำเนินการ เพื่อซื้อปัจจัยการผลิตหรือเพื่อจ่ายค่าจ้างแรงงานจัดเป็นทุนประเภทหมุนเวียน ทั้งนี้การลงทุนในไร่นาของเกษตรกรย่อมจะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น นอกจากนี้ “ศาสนาและวัฒนธรรม” ยังมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการเกษตรเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่นใน 4 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม หากมีการส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นแหล่งผลิตสุกรในภาคใต้ โอกาสของโครงการดังกล่าวจะประสบผลสำเร็จคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากขัดต่อหลักศาสนา ตลาด การผลิตสินค้าเกษตรใดๆ ก็ตาม เมื่อผลิตได้มากเกินความต้องการของผู้บริโภค ปัญหาสินค้าล้นตลาดย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นการจะผลิตสินค้าใด ๆ ต้องให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ เกษตรกรต้องจัดหาตลาดในท้องถิ่นอย่างเหมาะสม ไม่เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าผลผลิตจะมีคุณภาพดีเพียงใดก็ไม่เกิดประโยชน์ เมื่อไม่มีตลาดรองรับสินค้า รวมทั้ง “สิ่งอำนวยความสะดวกที่รัฐจัดหาให้” ไม่ว่าจะเป็นถนน ไฟฟ้า และประปา ในชุมชนที่มีปัจจัยดังกล่าว ครบบริบูรณ์ ย่อมมีต้นทุนการผลิตในการขนส่งต่ำ สินค้าที่นำส่งตลาดจะไม่บอบช้ำ เกษตรกรสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วกว่าในถิ่นที่ห่างไกลจากชุมชนออกไป
จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบอาชีพทางเกษตรจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและปัจจัยต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันไป ทั้งนี้เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในไร่นาให้อย่างเป็นระบบในสัดส่วนที่เหมาะสม อาชีพการเกษตรไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินทำทุกครั้งควรมีการศึกษาให้รอบคอบจากผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ เจ้าหน้าที่การเกษตรในพื้นที่ และประการสำคัญในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมนั้น สมาชิกในครอบครัวจะต้องมีความพึงพอใจ ยอมรับให้การสนับสนุน และเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยส่งผลให้การประกอบอาชีพการเกษตรประสบผลสำเร็จได้ในที่สุด
-------------------------
เรียบเรียงโดย ปัณจรีย์ ช่างพูด นักวิชาการเผยแพร่ 5
กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข้อมูลจาก : agric-prod.mju.ac.th