วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การเกษตรในลาสเวกัส


กว้างขวางการเกษตร ไปกับความรู้เรื่องต้นไม้และผลิตผลของนครลาสเวกัส เรียนรู้ขอบเขตของความเหมือนและความแตกต่างไปด้วยกัน

รู้หรือไม่? ฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงทองของเพาะปลูกในลาสเวกัส
การเกษตรเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ ที่คนเราสามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่จบสิ้น วันนี้เราจึงมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเกษตรอีกในมุมหนึ่งของโลกมาเล่าสู่กันฟัง นั่นคือ การเพาะปลูกของเกษตรกรที่นครลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา

ตามปกติแล้ว ช่วงการเพาะปลูกและทำการเกษตรของโลกตะวันตกส่วนใหญ่จะทำให้ตลอดปี ยกเว้นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่เป็นช่วงต้นไม้ผลัดใบ เนื่องจากไม่ได้รับแสงแดดและความอบอุ่นเพียงพอให้เจริญเติบโต และผลิดอกออกผล ซึ่งข้อนี้ตรงข้ามกับลาสเวกัสอย่างสิ้นเชิง 

ลาสเวกัสไม่ใช่แค่เมืองเอกลักษณ์อันโด่งดังระดับโลกที่ผู้อ่านสามารถพบเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่เว็บไซต์ M88.com แต่ที่นี่ยังมีความแตกต่างด้านการเกษตรให้เราพบเห็นกันอีกด้วย เนื่องจากเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ทะเลทราย ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาห

“ลมหนาว” คือช่วงทองในการเพาะปลูกของเกษตรกรในลาสเวกัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งทฤษฎีนี้ช่างขัดกับธรรมชาติเสียนี่กระไร

ส่วนเหตุผลที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็เพราะ โดยปกติแล้ว สภาพภูมิอากาศที่ลาสเวกัสนั้นจะเป็นแบบกึ่งทะเลทราย ซึ่งนั่นหมายถึง ในช่วงฤดูร้อนหรือซัมเมอร์ของที่นี่ อากาศจะร้อนจัด แห้งและมีลมแรง โดยสภาพอากาศเช่นนี้ ส่งผลให้ต้นไม้ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีก เมื่อเฉลยมาถึงตรงนี้ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมที่ลาสเวกัสจึงมีพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นต้นไป

เกษตรกรรายหนึ่งในลาสเวกัสได้ให้สัมภาษณ์ว่า ดินที่ลาสเวกัสนั้นเป็นทราย ดังนั้นจึงเหมาะกับการปลูกเฉพาะพืชผลที่ทนความร้อน นอกจากนี้ดินทรายนั้นยังขาดแร่ธาตุสำคัญต่างๆ การบำรุงดินจึงกลายเป็นเรื่องท้าทายสำหรับพวกเขา เช่นเดียวกันกับการให้น้ำ ซึ่งเกษตรกรเล่าว่า เทคนิคการรดน้ำต้นไม้ที่นี่ คือการปล่อยให้ดินแห้งตามธรรมชาติของพืชที่ขึ้นบนทราย โดยหากพบว่าดินยังเปียกอยู่ แสดงให้เห็นว่าต้นไม้เหล่านั้นขาดระบบการป้องกันเพื่อการอยู่รอดบนดินทราย

เมื่อสอบถามถึงเรื่องการรดน้ำมากเกินไป จึงได้คำตอบว่า ผู้คนในลาสเวกัสส่วนใหญ่ เมื่อเห็นต้นไม้ของพวกเขาอยู่ท่ามกลางดินทรายแห้งแล้ง และแสงแดดแผดเผา ทำให้คิดไปว่า ต้นไม้เหล่านั้นขาดน้ำ จึงให้น้ำแบบให้แล้วให้อีก และผลที่ได้ในตอนท้ายก็คือ ต้นไม้เหล่านั้นตายเพราะได้รับน้ำมากเกินไปเชื่อหรือไม่ว่า มีต้นไม้บางประเภท ที่เราสามารถให้น้ำเพียงแค่ 3-4 ครั้งต่อปี โดยต้นไม้เหล่านี้จะเจริญเติบโต และงอกงามได้ดีกว่าการได้รับน้ำบ่อยๆ ดังนั้น การเพาะปลูกด้วยการรู้ถึงพื้นฐานทางธรรมชาติของต้นไม้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

วิถีการปลูกต้นไม้ในลาสเวกัส ทำให้เราได้ตระหนักว่า ทฤษฎีเกษตรกรรมนั้นมีความหลากหลาย และไม่มีกฎข้อใดตายตัว แต่จำเป็นต้องถูกปรับใช้ให้ถูกต้องตามสถานการณ์ จึงจะสามารถใช้ประสิทธิผลสูงสุด

---Advertisement---