พัฒนา ‘ไหมอีรี่’ เป็นไหมการค้าเพื่อการส่งออก - เกษตรทั่วไทย
กรมหม่อนไหม มีนโยบายในการพัฒนาและส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงไหมอีรี่เพื่อการค้ามากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้เดินทางไปประชุมหารือและศึกษาดูงานการวิจัยด้านไหมและชา เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการ วิจัยตามข้อตกลงความร่วมมือด้านไหม ที่ประเทศอินเดีย ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร
(องค์การมหาชน) และสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศอินเดีย (North East Institute of Science and Technology, (NEIST) เพื่อส่งเสริมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศไทยและอินเดีย ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลงานวิจัยและนักวิจัยที่มีประสบการณ์เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในการร่วมกันส่งเสริมงานวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง และร่วมกันที่จะใช้ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ในการพัฒนาต่อยอดทางธุรกิจ เป็นต้น
นายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว จะนำไปสู่งานวิจัยพันธุ์ไหมป่าของประเทศเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ การวิจัย วิธีการปลูกพืชอาหารของไหมป่าและเทคนิคการเลี้ยงไหม การนำไหมป่ามาทำวิจัย เพื่อพัฒนาเส้นไหม และดีไซน์เส้นใย การพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยไหมเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงการแปรรูปไหม และการพัฒนาไหมเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังจะเชิญนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไหมอีรี่มาร่วมเป็นวิทยากรและประชุมหารือร่วมกับนักวิจัยด้านไหมของไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำวิจัยด้านไหมต่อไป
ด้าน รศ.ดร.ศิวิลัย สิริมังครารัตน์ อาจารย์ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนและทีมงานกลุ่มวิจัยการเพาะเลี้ยงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไหมป่าและแมลงสำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มีการวิจัยและพัฒนาไหมป่าชนิดต่าง ๆ อาทิ ไหมอีรี่ ไหมทาร์ซา ไหมกินใบอะโวคาโด และไหมกินใบกระท้อน ซึ่งได้ศึกษาวิจัยอย่างครบวงจรในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะไหมอีรี่ ได้แก่ การเพาะเลี้ยง การพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอ การสร้างและพัฒนาเครื่องผลิตเส้นไหม การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ยังได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์ไหมอีรี่ให้มีขนาดใหญ่และทนร้อน สามารถอยู่รอดได้ดีต่อสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในระดับอุตสาหกรรมโรงงานทำเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออก (สปันซิลค์) ขณะนี้ตลาดมีความต้องการ รังไหม ตัวดักแด้และเส้นไหมอีรี่ เป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาเส้นไหมเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม ราคา 550-750 บาท เป็น 1,800– 2,000 บาท นอกจากนี้ราคาของรังไหมก็เพิ่มสูงขึ้น ด้วย จากเดิมกิโลกรัมละ 50 บาท เป็น 220-280 บาท ส่วนราคาดักแด้ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท
“จากการรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ในปี 2560 ทั่วโลกจะเกิดวิกฤติการขาดแคลนอาหาร โดยเฉพาะแหล่งโปรตีน แมลงกินได้อย่างไหมอีรี่จึงมีข้อได้เปรียบมากกว่าโปรตีนจากแหล่งอื่น ๆ เนื่องจากเพาะเลี้ยงง่าย โตเร็ว และใช้พื้นที่น้อย อีกทั้งทางสหภาพยุโรป (EU) ก็ได้มีการสนับ สนุนให้มีการนำไหมอีรี่มาแปรรูปเป็นอาหารมากขึ้นด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับการขาดแคลนอาหารโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราจึงมีแนวทางที่จะร่วมมือกับกรมหม่อนไหม ในการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงและแปร รูปผลิตภัณฑ์จากไหมอีรี่ให้มากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต รวมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ในระดับนานาชาติ และรองรับการเข้าสู่ประชา คมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)” รศ.ดร.ศิวิลัย กล่าว
จากคุณสมบัติและลักษณะที่โดดเด่นหลายประการของไหมอีรี่ จึงทำให้ได้รับความสนใจและความต้องการในปริมาณมาก ทั้งการผลิตในประเทศและส่งออก ดังนั้น ไหมอีรี่จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญและเป็นแมลงกินได้อีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ และกลายเป็นแมลงอุตสาหกรรมที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจชนิดใหม่ของประเทศไทย.
ที่มา :หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์