วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การเพาะเลี้ยงหอยหวาน

การเพาะเลี้ยงหอยหวาน
             หอยหวานหรือบางท้องถิ่นเรียกว่าหอยตุ๊กแก ที่พบมากในประเทศมี 2 ชนิด คือ บาบิโลเนียอารีโอลาตา
(Babylonia areolata)  และบาบิโลเนียสไปราต้า  (Babylonia spirata)   ชนิดแรกเป็นชนิดที่มีผู้นิยม
บริโภคมากกว่า หอยหวานเป็นสัตว์น้ำที่มีราคาค่อนข้างแพง ตามท้องตลาดทั่วไปราคากิโลกรัมละ 120-200 บ. 

            ปัจจุบันสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจังหวัดชลบุรี   สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำที่เกาะสีชัง จ.ชลบุรี,
ศูนย์พัฒนาประมงทะเลฯ  ต.บ้านเพ จ.ระยอง  และศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งระยอง ต.ตะพง จ.ระยอง 
รวมทั้งภาคเอกชนบางรายได้พยายามเพาะขยายพันธุ์หอยชนิดนี้ให้มีมากขึ้น เพื่อให้มีปริมาณลูกหอยมากเพียงพอ
และลดต้นทุนการผลิตลูกหอยหวาน เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้สนใจเลี้ยงหอยชนิดนี้เป็นการค้าต่อไป
หลักเกณฑ์การคัดเลือกสถานที่

             สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงหอยหวานนั้นเป็นเงื่อนไขที่สำคัญเบื้องต้นของความสำเร็จในการ
ดำเนินการ โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้
            1. พื้นที่ที่เหมาะสม ควรเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับทะเล หรือเป็นเกาะอยู่ห่างจากทะเลไม่มากนัก สามารถนำ
น้ำทะเลมาใช้ได้สะดวกและ เพียงพอ ต้นทุนน้ำจะได้ไม่แพงมากนักไม่ควรอยู่ใกล้ปากแม่น้ำ หรือลำคลองขนาด
ใหญ่ที่มีน้ำจืดไหลลงมาจำนวนมากในฤดูฝน เพราะอาจจะเกิดปัญหาความเค็มของน้ำลดลงรวดเร็ว ซึ่งจะมีผล
ต่ออัตราการตายของหอย
            2. น้ำทะเลที่จะใช้เลี้ยงหอยหวานควรมีความเค็มใอยู่ในช่วง 28 – 35 พีพีที หอยหวานอาจจะเจริญ
เติบโตช้าลง และหากมีความเค็มต่ำกว่า 20 พีพีที หอยบางส่วนจะเริ่มตายลง
            3. สถานที่ที่จะใช้เลี้ยงหอยหวาน ควรตั้งอยู่ใกล้ภัตตาคาร โรงแรม และร้านอาหารประเภทต่างๆ หาก
อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวก็ย่งดี   เพราะจะได้จำหน่ายผลผลิตหอยหวานได้สะดวกยิ่งขึ้น
           4. สถานที่สำหรับใช้เลี้ยงหอยหวาน ไม่ควรตั้งอยู่ใกล้โรงงานหรือแหล่งมลพิษต่างๆ ที่จะเป็นสาเหตุ
ให้น้ำทะเลที่จะนำมาใช้เลี้ยงหอยหวานเกิดความสกปรก  น้ำไม่ใสสะอาดเท่าที่ควร อาจมีเชื้อโรคหรืสารพิษ
ปนเปื้อน หอยที่เลี้ยงไว้เกิดโรคต่างๆ ตายได้
            5. แหล่งเลี้ยงหอยหวาน ควรอยู่ใกล้แหล่งอาหารที่จะใช้เลี้ยงหอยหวาน เช่น เนื้อปลา เนื้อหอยแมลงภู่ 
ทำให้ต้นทุนอาหาร มีราคาถูกไม่เสียค่าขนส่งแพง มีอาหารให้หอยกินอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ

การเตรียมบ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยง
            บ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงหอยหวานนั้นมีหลายรูปแบบเป็นเหลี่ยมหรือรูปร่างกลม   แต่ต้องมีระบบที่จะทำ
ให้สามารถถ่ายน้ำได้สะดวก  อาจเป็นบ่อคอนกรีต บ่อผ้าใบ หรือถังไฟเบอร์กลาสที่มีรูปร่างทรงกลม มีท่อน้ำล้น  
และทางน้ำเข้าออกสะดวก มีระบบให้อากาศในปริมาณที่พอเพียง พื้นก้นบ่อหรือก้นถังดังกล่าวควรจัดให้มีทราย
รองพื้นภาชนะ เริ่มจากการใช้ทรายละเอียด หากลูกหอยยังมีขนาดเล็ก ปริมาณทรายที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมากนัก 
ให้ทรายมีความหนาพอท่วมตัวหอยที่เลี้ยงก็เพียงพอแล้ว ในกรณีที่ผู้เลี้ยงไม่ประสงค์ใช้ทรายรองพื้นก้นบ่อหรือ
ภาชนะที่ใช้เลี้ยงก็ประสงค์พอทำได้ โดยที่ผู้เลี้ยงต้องหมั่นเช็ดถูพื้นผิว 
           บ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงให้สม่ำเสมอมากยิ่งขึ้นทั้งนี้เพื่อเป็นการกำจัดเมือกและสิ่งสกปรกจากมูลหอยรวมทั้ง
อาหารหอยที่เหลือตกค้างซึ่งมักจะเกิดขึ้นเสมอ นอกจากนี้แล้วผู้เลี้ยงยังควรตรวจวัดปริมาณออกซิเจน ค่าแอมโมเนีย 
ไนไทรต์ และไนเตรด เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอบ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงไม่ควรมีขนาดใหญ่มากนัก ควรเป็นขนาด
ที่สะดวกกับการระวังดูแลรักษาความสะอาดบ่อที่มีขนาดเส้นฝ่าศูนย์กลาง 1 เมตร  ก็น่าจะใช้ได้ดีแต่ต้องมีผิวภาชนะ
ที่ราบเรียบ ไม่ขรุขระซึ่งอาจจะเป็นที่สะสมของเชื้อโรคต่างๆ ได้ ควรทำการพรางแสง  เพื่อไม่ให้แสงสว่างส่องตัว
หอยมากนัก แสงสว่างที่มากเกินไปนอกจากเป็นการรบกวนหอยที่เลี้ยงแล้วยังเป็นการกระตุ้นให้แพลงตอนและสาหร่าย
ที่อยู่ในบ่อเกิดการสังเคราะห์แสง เกิดสาหร่ายสีเขียวจำนวนมากเกาะที่ก้นบ่อและผนังบ่อ ซึ่งเป็นสาเหตุให้น้ำเสียและ
เปลือกหอยที่เลี้ยงก็จะมีสาหร่ายและสิ่งปนเปื้อนเกาะติด ทำให้ดูสกปรกและไม่สะอาด เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค
          น้ำที่ใช้เลี้ยงหอยหวานในบ่อหรือภาชนะต้องเป็นน้ำที่ใสสะอาด ไม่มีตะกอนแขวนลอย หากมีอยู่มากน้ำจะขุ่น
ตะกอนขนาดเล็กเหล่านี้ไปเกาะที่เหงือกภายในตัวหอย ทำให้หอยตายได้และน้ำที่ใช้เลี้ยงหอยก็ควรมีความเค็มใน
รอบปีไม่แตกต่างกันมากนัก ขนาดความลึกของน้ำในบ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงไม่จำเป็นต้องลึกมากนัก ขนาดความลึก
ประมาณ 40 ซม. ก็ใช้ได้แล้ว ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดและความหนาแน่นของหอยที่นำมาเลี้ยงรวมทั้งปัจจัยอื่นๆด้วย

ขนาดและอัตราการปล่อย
          เนื่องจากปัจจุบันมีผู้สนใจที่จะเลี้ยงหอยหวานมากขึ้น  ในขณะที่หน่วยราชการและเอกชนยังไม่สามารถผลิต
ลูกพันธุ์หอยชนิดนี้ได้เพียงพอกับความต้องการของผู้ที่สนใจจะนำไปทดลองเลี้ยง อย่างไรก็ตามหน่วยงานของกรม
ประมงก็พยายามค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาการเพาะขยายพันธุ์หอยหวานชนิดนี้ หากสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ด้วย
ตนเอง ก็สามารถลดต้นทุนที่เป็นลูกพันธุ์หอยลงได้มาก
          ขนาดลูกหอยหวานที่เหมาะสมจะนำไปเลี้ยงนั้น อย่างน้อยควรมีความยาวเปลือกตั้งแต่ 0.5 ซม ขึ้นไป ถ้าจะ
ให้ได้ผลดีควรมีความยาวเปลือกตั้งแต่ 1 ซม. หากนำลูกหอยดังกล่าวไปเลี้ยงก็จะมีอัตราการรอดตายค่อนข้างสูง   
อัตราการปล่อยลูกหอย ขนาดความยาวเปลือก 1 – 1.5 ซม.   ที่เหมาะสมควรปล่อยประมาณ 300 – 500 ตัวต่อ
พื้นที่ก้นบ่อ  1 ตารางเมตร อย่างไรก็ตาม อัตราปล่อยจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการจัดการเรื่องการเลี้ยงและการดูแล
รักษาที่ดีผู้เลี้ยงก็สามารถที่จะปล่อยลูกหอยลงเลี้ยงในบ่อได้หนาแน่นเพิ่มขึ้น

อาหารและการให้อาหาร
          โดยธรรมชาติของหอยหวานที่คืบคลานบนพื้นทะเล จะชอบกินอาหารประเภทเนื้อเป็นหลัก หากนำลูกหอย
หวานมาเลี้ยงในบ่อก็สามารถเลี้ยงด้วยเนื้อปลา เนื้อหอยแมลงภู่ เนื้อหอยกะพง รวมทั้งอาหารเม็ดกุ้งทะลและอาหาร
ผสมอื่นๆทั้งนี้ขึ้นกับความสะดวกในการจัดซื้อจัดหาและราคาของอาหารชนิดนั้นๆ ปัจจุบันพบว่าการใช้เนื้อหอย
แมลงภู่เลี้ยงหอยหวาน หอยหวานจะมีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่าการใช้เนื้อปลา
          การให้อาหารขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่จะให้และขนาดของลูกหอยหวานที่เลี้ยง หากใช้เนื้อปลาควรใช้
เนื้อปลาที่ราคาไม่แพงนัก เช่นเนื้อปลาข้างเหลือง หรือปลาเบญจพรรณอื่นๆ ทำการแล่เอาเฉพาะเนื้อปลา  สับเป็น
ชิ้นๆใหญ่เล็กตามขนาดของหอยที่เลี้ยง   หากใช้เนื้อหอยแมลงภู่ควรซื้อหอยแมลงภู่ขนาดเล็กหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า  
หอยเป็ด มีขนาดความยาวเปลือกไม่เกิน 3 ซม.  ซึ่งชาวประมงผู้เลี้ยงหอยแมลงภู่จะตัดหลักหอยขนาดเล็กนี้จำหน่าย
ในราคาถูกจะทำให้ต้นทุนค่าอาหารต่ำลง   หอยแมลงภู่และเนื้อปลาที่ใช้ควรมีความสะอาด   หากเป็นหอยแมลงภู่
ก็ทำผ่าตัวหอยแล้วแบะให้ฝาหอยทั้งสองข้างอ้าออก  หอยหวานก็จะสามารถเข้ามาดูดกินเนื้อหอยแมลงภู่ได้สะดวก 
หากใช้อาหารชนิดอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้วก็จำเป็นต้องดัดแปลงวิธีการให้อาหารให้เหมาะสมเป็นชนิดไป  
ปริมาณอาหารที่ให้ในกรณีที่ใช้เนื้อปลาเลี้ยงควรให้ 2 – 10 % ของน้ำหนักหอยหวานทั้งหมดที่เลี้ยงหากใช้เนื้อหอย
แมลงภู่เลี้ยงก็ควรให้ 5 – 30 % ของน้ำหนักหอยทั้งหมดที่เลี้ยง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ จึงจำเป็นต้องปรับปริมาณ
อาหารที่ให้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารที่ใช้เลี้ยงเหลือมากเกินไปหรือไม่เพียงพอ ปกติแล้วจะ
ให้วันละ 2 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกันทุกวัน โดยให้วันละ 2 – 3 ชั่วโมงหลังให้อาหารแล้วเก็บอาหารส่วนที่เหลือออก
ให้หมด

การดูแลรักษา
          การเลี้ยงหอยหวานในระดับที่มีความหนาแน่นมากนั้น จะมีเศษอาหารที่ให้และมูลหอยซึ่งเป็นอินทรีย์สาร
จำนวนหนึ่งเมื่อระบายน้ำซึ่งมีอินทรีย์สารเหล่านี้ลงทะเลก็จะเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในทะล จึงไม่มีผลใน
ทางลบกับสภาพแวดล้อมในทะเลแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามผู้เลี้ยงจะต้องหมั่นทำความสะอาดทรายรองพื้นหรือ
บ่อเลี้ยงเป็นประจำ 3  วันครั้งหรือสัปดาห์ละ 1 ครั้ง  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติของน้ำที่ใช้เลี้ยงและสภาพพื้นทราย
ว่ามีสีดำและสกปรกมากหรือไม่เพียงใด   หากพื้นทรายที่หอยอาศัยอยู่เกิดมีลักษณะคราบสีดำแผ่กว้างออกมากขึ้น   
จำเป็นต้องจัดการทำความสะอาดที่รองพื้นดังกล่าวกรณีที่ตรวจพบว่าน้ำมีปริมาณออกซิเจนต่ำมาก และมีปริมาณ
แอมโมเนีย  ไนไทร์ตและไนเตรดค่อนข้างสูง   ผู้เลี้ยงต้องทำการปรับเปลี่ยนน้ำในบ่อเลี้ยงใหม่ หรือทำการปรับ
ระบบให้น้ำที่ใช้เลี้ยงให้มีการไหลถ่ายเทมากขึ้นตามความจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำที่ใช้เลี้ยงคุณภาพเสื่อมและ
เสียเร็ว ผู้เลี้ยงควรเก็บอาหารที่ใช้เลี้ยงออกทุกครั้ง ควรทำการตรวจสอบประจำวันเกี่ยวกับระบบน้ำ  ระบบการให้
อากาศ  และสภาพการเปลี่ยนความเค็มของน้ำในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกะทันหันจะ
ต้องเร่งแก้ไขทันที โดยเฉพาะในฤดูฝน  หากมีฝนตกมากน้ำฝนหลากไหลลงสู่ทะเลน้ำบริเวณชายฝั่งจะมีความเค็ม
ลดลงมาก หากนำน้ำดังกล่าวมาใช้ในบ่อเลี้ยงจะส่งผลการกินอาหารของหอย อาจทำให้หอยโตช้าลงหรือตายได้
          การตรวจสอบการเจริญเติบโตของหอยหวานในบ่อที่เลี้ยง ควรดำเนินการอย่างน้อยเดือนละครั้ง รวมทั้งการ
ดำเนินการข้อสังเกตต่างๆ ของผู้เลี้ยง นำมาวิเคราะห์พิจารณาหาปัญหา หาสาเหตุและแนวทางการแก้ไข จะช่วยให้
การเลี้ยงมีการพัฒนาและประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น

ต้นทุนและการผลิต
          ต้นทุนการเลี้ยงหอยหวานนั้นจะใช้ทุนมากในช่วงเริ่มต้น คือต้นทุนคงที่ ได้แก่  บ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยง 
ถ้าหากมีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 5 ปีจะทำให้เกิดความคุ้มทุนได้  สำหรับต้นทุนผันแปรที่สำคัญที่ใช้เงิน
ลงทุนมากก็คือ  ค่าลูกพันธุ์หอยหวานที่นำมาเลี้ยง รวมทั้งค่าอาหารที่ใช้ปัจจุบันราคาลูกพันธุ์หอยหวานขนาดที่มี
ความยาวเปลือกประมาณ 0.5 ซม. นั้นราคาไม่แพงนัก  แต่ถ้าเป็นลูกพันธุ์หอยขนาดที่มีความยาวเปลือกถึง 1 ซม.
อาจมีราคามากกว่า ตัวละ 1 บาท อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้นี้ ต้นทุนการผลิตลูกหอยจะต่ำลงมาก เนื่องจาก
กรมประมงและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังพัฒนาวิธีการเพาะและอนุบาลลูกหอยวัยอ่อนให้มีอัตรา
รอดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนต่ำลง
          เมื่อนำลูกหอยหวานขนาดดังกล่าวมาเลี้ยงเป็นเวลาประมาณ 5 – 6 เดือน จะมีอัตรารอดประมาณ 90 % 
หอยจะมีนำหนักประมาณ 80 – 100 ตัว/กิโลกรัม โดยสามารถคัดขนาดและเริ่มจับจำหน่ายได้บ้างแล้ว หากตลาด
ต้องการหอยที่มีขนาดใหญ่ชึ้นก็สามารถเลี้ยงต่อจนกระทั่งหอยมีขนาดน้ำหนัก 40 -50 ตัว/กิโลกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
ความต้องการของผู้บริโภคและราคาที่รับซื้อภายในประเทศรวมทั้งราคารับซื้อเพื่อการส่งออกในขณะนั้น

ที่มา fisheries.go.th
---Advertisement---