วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ดอกกระเจี๊ยบแดง



ดอกกระเจี๊ยบแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์   Hibiscus sabdariffa L.
ชื่อวงศ์     Malvaceae
ชื่ออังกฤษ   Jamaica sorrel, Roselle
ชื่อท้องถิ่น   กระเจี๊ยบ  กระเจี๊ยบเปรี้ยว  ผักเก็งเค็ง  ส้มเก็งเค็ง  ส้มตะเลงเครง  ส้มปู


หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

1.  ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
      การศึกษาในหลอดทดลองพบว่าน้ำมันและสารที่เป็น unsaponifiable matter มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ ยกเว้น Pseudomonas aeruginosa และ Proteus vulgaris สารทั้งสองออกฤทธิ์ต้าน Salmonella typhi ได้ดี และสารที่เป็น unsaponifiable matter จะออกฤทธิ์ต้าน Staphylococcus albus และ Bacillus anthracis (1)  น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต้านเชื้ออุจจาระร่วง 8 ชนิด ความเข้มข้นของสารที่น้อยที่สุดที่ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอยู่ในช่วงน้อยกว่า 1.06 จนถึง 50 มก./มล. (2)  สารสกัดน้ำร้อนจากกระเจี๊ยบ สัดส่วน 1:10 (นน.แห้ง) และ 1:5 (นน.สด) มีฤทธิ์ต้าน Staphylococcus aureus และ Bacillus cereus (3)  แต่การศึกษาผลฆ่าเชื้อแบคทีเรียในระบบขับถ่ายปัสสาวะในผู้ป่วย พบว่าน้ำชงกระเจี๊ยบไม่มีผล เมื่อให้ผู้ป่วย 32 ราย รับประทานยาชงในขนาด 6 กรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน และผู้ป่วยดื่มน้ำไม่น้อยกว่า 2 ลิตรต่อวัน (4)

2.  การทดลองทางคลินิกใช้ขับปัสสาวะ
     เมื่อให้ผู้ป่วยดื่มน้ำสกัดกระเจี๊ยบแดง พบว่ามีฤทธิ์ขับปัสสาวะ (5)   นายแพทย์วีรสิงห์ เมืองมั่น ได้ทดลอง ใช้กลีบดอกกระเจี๊ยบแดงแห้งบดเป็นผง 3 กรัม ชงน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว หรือ 300 ซี.ซี. ให้ผู้ป่วยดื่มวันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน ถึง 1 ปี โดยทำการทดลองกับคนไข้ 50 คน พบว่าได้ผลดีในการขับปัสสาวะ (6)

3. ฤทธิ์ป้องกันการเกิดนิ่ว
    การศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีพบว่าน้ำกระเจี๊ยบแดงไม่ให้ผลในการป้องกันการเกิดนิ่ว (7, 8)  เมื่อทดสอบให้อาสาสมัครสุขภาพดีอายุ 27-45 ปี จำนวน 6 คน ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง (4 ก.%) 1 วัน 4 ครั้งๆละ 250 มล.  ตรวจปัสสาวะหลังจากดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง 24 ชม. พบว่ามีความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น และ  titratable acidity เพิ่มขึ้น  ระดับแคลเซียม และ calcium-citrate ratio เพิ่มขึ้น  เมื่อเปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่กิน  potassium citrate ขนาด 15.41 mEq/25 มล. 4 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 25 มล.  ดื่มน้ำได้ไม่เกิน 250 มล./ครั้ง  พบว่าปัสสาวะมีแนวโน้มเพิ่มความเป็นด่าง และ titratable acidity ลดลง  ระดับฟอสฟอรัสลดลง calcium-magnesium ratio เพิ่มขึ้น แสดงว่าน้ำกระเจี๊ยบไม่มีผลป้องกันการเกิดนิ่ว (7)  และทดสอบให้อาสาสมัครสุขภาพดี 36 คน ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาดวันละ 16 ก. (แบ่งดื่มวันละ 4 ครั้ง) นาน 7 วัน (ระยะที่ 1)  แล้วให้พัก 2 สัปดาห์ จากนั้นดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาดวันละ 24 ก. (แบ่งดื่มวันละ 4 ครั้ง) นาน 7 วัน (ระยะที่ 2)  ตรวจปัสสาวะพบว่า มีการขับออกของครีอาตินีน กรดยูริค ซิเตรท ทาร์เตรท แคลเซียม โซเดียม โพแทสเซียม และฟอสเฟต ลดลง ยกเว้นออกซาเลต  ค่า CPR (Concentration product ratio) ของแต่ละคนส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น และมีค่า PI (Permissible increment) ลดลง  ในระยะที่ 2  ค่า CPR ของแต่ละคนส่วนใหญ่ลดลง และ PI เพิ่มขึ้น   ดังนั้นการดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาดวันละ 16 ก. จะมีผลต่อการขับออกของสารต่างๆในปัสสาวะลดลงมากกว่าขนาดวันละ 24 ก. และการเปลี่ยนแปลงของปัสสาวะก็คล้ายกับปัสสาวะของชาวชนบทในภาคอีสานที่เป็นนิ่วหรือไม่เป็นนิ่วในไต ซึ่งต่างจากปัสสาวะของชาวเมืองในอีสาน  การกินกระเจี๊ยบแดงไม่มีประโยชน์ต่อการป้องกันการเกิดนิ่วในไต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสารในปัสสาวะกลับอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต การกินระยะยาวและขนาดสูงกว่า 24 ก./วัน  อาจจะได้ผลต้องทดลองต่อไป (8)

ส่วนการศึกษาในผู้ป่วยโรคนิ่วหรือโรคทางเดินปัสสาวะ เนื้องอกของต่อมลูกหมากหลังการผ่าตัด ให้ดื่มน้ำดอกกระเจี๊ยบ 3 กรัม ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี พบว่า 80% ของผู้ป่วยมีปัสสาวะใสกว่าเดิม และพบว่าทำให้ปัสสาวะเป็นกรด จึงช่วยฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะด้วย (9)  แต่เมื่อทำการศึกษาในผู้ป่วยโรคนิ่วระยะนาน 6 เดือน จำนวน 10 คน อายุ 36-59 ปี ให้ผลป้องกันการเกิดนิ่วได้ไม่ดีนัก ทดลองให้ผู้ป่วย 6 คน ดื่มชากระเจี๊ยบแดง (1.2 ก.%) วันละ 4 ครั้งๆละ 250 มล.  3 เวลาหลังอาหารและก่อนนอน  และอีก 4 คน กิน potassium citrate ขนาด 15.41 mEq/25 มล.  วันละ 4 ครั้งๆละ 25 มล.  3 เวลาหลังอาหารและก่อนนอน  พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะทั้ง 2 กลุ่ม  ปัสสาวะของผู้ป่วยที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงจะมีออกซาเลตเพิ่มขึ้นมากและมากกว่าก่อนการทดลอง และค่า calcium-citrate ratio และ calcium-magnesium ratio สูงขึ้น  ในขณะที่ผู้ป่วยที่กิน potassium citrate จะมีระดับแคลเซียมในปัสสาวะต่ำ โพแทสเซียมในปัสสาวะเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มในการเพิ่มระดับซิเตรทที่ต่ำให้เข้าสู่ภาวะปกติ  ค่า calcium-citrate ratio และ calcium-magnesium ratio ต่ำลงสู่ปกติ ระดับกรดยูริคและออกซาเลตในปัสสาวะสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่ากระเจี๊ยบแดงมีประสิทธิภาพด้อยกว่า potassium citrate ในการลดปัจจัยการเกิดนิ่ว (7)

4. หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษ


4.1 การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยน้ำจากดอกให้กับกระต่าย (10, 11) และให้กับหนูขาว (12)  ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD50) เท่ากับ 129.1 ก./กก. (10, 11) และ 5 ก./กก. (12) ตามลำดับ  ไม่พบพิษในหนูถีบจักรและหนูขาวที่กินสารสกัดด้วยน้ำจากดอกขนาด 4 มก./กก. (2)  เมื่อฉีดสารสกัดน้ำจากดอกเข้าช่องท้องหนูถีบจักรทั้งสองเพศ  ค่า LD50 มากกว่า 5,000 มก./กก. (13)  และฉีดสารสกัดด้วยน้ำร้อนจากดอกเข้าช่องท้องหนูถีบจักร ความเข้มข้น 30% ในขนาด 0.4-0.6 ซี.ซี. ทำให้หนูตายครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ทดลอง (10)

4.2  ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
สารสกัดผลกระเจี๊ยบด้วยความเข้มข้น 50 มคก./จานเพาะเลี้ยงเชื้อ (14)  และน้ำมันจากเมล็ด (15) ทดสอบในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ Salmonella typhimurium TA98 และ TA100 (14, 15)  แต่สารสกัดด้วยน้ำจากดอกกระเจี๊ยบ ทำการทดลองในจานเพาะเลี้ยงเชื้อในความเข้มข้น 1-5 มก./จานเพาะเชื้อ (16) และสารสกัดดอกกระเจี๊ยบ (17) พบว่าไม่มีผลต่อการก่อกลายพันธุ์ของเชื้อ S. typhimurium TA98 และ TA100 (16, 17) และเมื่อนำสารสกัดจากดอกกระเจี๊ยบด้วยเอทานอล 80% (100 ก./ล.) ซึ่งทำให้แห้งด้วยวิธีแช่แข็งมาทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ (ขนาด 25 มก./จานเพาะเชื้อ) และทดสอบฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ (ขนาด 12.5 มก./จานเพาะเชื้อ) พบว่ามีฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ แต่ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ S. typhimurium TA98 และ TA100 (18) และชาชงใบกระเจี๊ยบ ความเข้มข้น 100 มคล./แผ่น ทดสอบในจานเพาะเลี้ยงเชื้อกับเชื้อ S. typhimurium TA98, TA 100 ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการก่อกลายพันธุ์ด้วย ethylmethane sulfonate และ 2-amino-anthracene ตามลำดับ พบว่าสามารถต้านการก่อกลายพันธุ์ของเชื้อ S. typhimurium TA98 และ TA100 ได้ (19)


 4.3  ฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง
       เมื่อฉีดสารสกัดน้ำจากดอกเข้าช่องท้องหนูถีบจักรทั้งสองเพศ ขนาด 100 มก./กก. จะกดระบบประสาทส่วนกลาง (13)

 4.4  พิษต่อตับ
        ส่วนสกัดน้ำที่ได้จากสารสกัดอัลกอฮอล์:น้ำจากดอกกระเจี๊ยบ ป้อนให้หนูขาว 6 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ไม่ได้รับส่วนสกัด กลุ่มที่ 2, 3, 4, 5 และ 6 ได้รับส่วนสกัดจำนวน 1, 3, 5, 10 และ 15 ครั้ง ครั้งละ 250 มก./กก. ตามลำดับ พบว่าหนูทุกกลุ่มที่ได้รับส่วนสกัดจะมีค่า aspartate aminotransferase และ alanine aminotransferase สูงขึ้น แต่ไม่มีผลต่อระดับของ alkaline phosphatase และ lactate dehydrogenase  หนูที่ได้รับส่วนสกัด 15 ครั้ง จะมีระดับอัลบูมินในเลือดสูงขึ้น ลักษณะเนื้อเยื่อของตับและหัวใจในหนูทุกกลุ่มไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นในการกินส่วนสกัดนี้ในขนาดสูงและในระยะเวลานาน อาจทำให้เป็นพิษต่อตับได้ (20)        

การใช้กระเจี๊ยบแดงรักษาอาการปัสสาวะขัด
                    ใช้กลีบดอกกระเจี๊ยบแดงแห้งบดเป็นผง 3 กรัม ชงน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว หรือ 300 ซี.ซี. ดื่มวันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน ถึง 1 ปี (6)

ที่มาจาก : medplant.mahidol.ac.th
---Advertisement---