ใบชะพลู
ใบชะพลู หรือภาษาอีสานที่มักจะเรียกว่า ผักอีเลิศ ใบชะพลูนั้นมีสารอาหารที่สำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราอย่างมาก อย่างเช่น แคลเซียม และวิตามินเอที่สูงมาก และยังมี
ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เส้นใย และสารคลอโรฟิล และมีสรรพคุณทางยาอีก เช่นช่วยบำรุงธาตุ แก้จุกเสียดแน่น แต่หากกินใบชะพลูเข้าไปในปริมาณมากๆ หรือว่ากินแบบกินทุกวัน
หรือกินทุกมื้อนั้น ก็จะทำให้แคลเซียมในใบชะพลูนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งแคลเชียมออกซาเลท นั้นถ้าสะสมในร่างกายของมนุษย์นานๆ ก็อาจกลายเป็นนิ่วในไตได้
แต่ในชีวิตประจำวันของคนเราแล้วก็ไม่มีใครกินได้ขนาดนั้นหรอกครับ วิธีที่จะให้ได้ประโยชน์จากใบชะพลูได้อย่างเต็มที่ก็คือ กินใบชะพลูร่วมกับเนื้อสัตว์ ร่างกายจึงจะได้ใช้แคลเซียมที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุดครับ
ชื่อภาษาไทย : ใบชะพลู
ชื่อในท้องถิ่น : ช้าพลู (ภาคกลาง) ชะพลูเถา เฌอภลู (สุรินทร์) ผักปูนา ผักปูลิง ผักปูริง ปูลิงนก ผักพลูนก ผักอีไร ผักอีเลิศ (ภาคอีสาน) พลูลิง (ภาคเหนือ) เย่เท้ย (แม่ฮ่องสอน) พลูนก ผักปูนก (พายัพ)
พลูลิงนก (เชียงใหม่) นมวา (ใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper sarmentosum Roxb
วงศ์ : Piperaceae
ลักษณะของต้นชะพลู
ชะพลูเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มักขึ้นทั่วไปตามที่เปียกชื้น ปลูกขึ้นง่าย เจริญเติบโตได้ดี มีลักษณะเป็นเถาเลื้อยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ลำต้นแบ่งเป็นข้อโดยตามข้อจะมีรากช่วยในการยึดเกาะ มีกลิ่นเฉพาะตัว
ใบมีสีเขียวสดเป็นมัน คล้ายกันกับใบ พลูที่ใช้เคี้ยวกินกับหมาก ฐานใบกว้าง ปลายใบแหลมคล้ายรูปหัวใจหรือใบโพธ์เล็กน้อย เห็นเส้นใบชัดเจน ใบมีกลิ่นฉุน มีรสเผ็ดเล็กน้อย ดอกสีขาวมีขนาดเล็ก
จะออกเป็นช่อ
แหล่งที่พบ
ปลูกตามสวนผัก แปลงผักและ บ้านทั่วไปหรือตามที่ชื้นแฉะริมน้ำ บางแห่งอาจจะขึ้นเองตามธรรมชาติ
สารที่มีในใบชะพลู
ชะพูลมีน้ำมันหอมระเหยที่ทำให้เกิดกลิ่นเผ็ดฉุน และมีคุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญ คือ มีแคลเซียม และสารเบต้า-แคโรทีนจากการศึกษาของ มหาวิทยาลัยมหิดลโดยศึกษาฤทธิ์การลดน้ำตาลในเลือดของสารสกัดจากใบชะพลู โดยการ ใช้น้ำสกัดเอาสารสำคัญของชะพลูทั้งต้นโดยใช้หนูทดลอง โดยการแบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม โดยหนูกลุ่มที่1จะเหนี่ยวนำทำให้เป็นเบาหวาน และหนูกลุ่มที่ 2 จะเป็นหนูปกติ แล้วฉีดสารสกัดของชะพลูเข้าไปในหนูทั้งสองกลุ่ม จากนั้นวัดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อฉีดเข้าไปครั้งแรก
พบว่าสารสกัดชะพลูในขนาด 0.125 และ 0.25 กรัมต่อน้ำหนักของหนู 1 กิโลกรัม ไม่ช่วยลดระดับน้ำตาลของหนูกลุ่ม ที่เป็นเบาหวานแต่เมื่อให้สารสกัดต่อไปอีก 7 วันพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวานลดลงซึ่งผู้ทดลองก็ได้นำยาแผนปัจจุบัน คือ ไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) มาทดสอบกับหนูทั้งสองกลุ่มเช่นกันพบว่าได้ผลเช่นเดียวกับสารสกัดชะพลู
ในใบชะพลู 100 กรัม ให้พลังงานกับร่างกาย 101 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
-เส้นใย 4.6 กรัม
-แคลเซียม 601 มิลลิกรัม
-ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
-เหล็ก 7.6 มิลลิกรัม
-วิตามินบีหนึ่ง 0.13 มิลลิกรัม
-วิตามินบีสอง 0.11 มิลลิกรัม
-ไนอาซิน 3.4 มิลลิกรัม
-วิตามินซี 22 มิลลิกรัม
-โปรตีน 5.4 กรัม
-คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม
-และให้เบต้า-แคโรทีนสูงถึง 414.45 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
สรรพคุณของชะพลู
ใบ: รสเผ็ดร้อน เจริญอาหาร ขับเสมหะ ทำเสมหะให้งวด ทำให้เลือดลมซ่าน
ดอก : รสเผ็ดร้อน แก้ศอเสมหะ ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยย่อยอาหาร ขับลมในลำไส้
ราก: รสเผ็ดร้อน แก้คูถเสมหะ ขับเสมหะให้ตกทางทวารหนัก บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
ต้น: รสเผ็ดร้อน แก้เสมหะในทรวงอก ขับเสมหะ
การใช้ใบชะพลูไปประกอบอาหาร
ใบสดมีรสเผ็ดซ่าลวกเป็นผักจิ้มหรือรับประทานสดโดยใช้เป็นใบห่อเมี่ยงคำ เมี่ยงปลาทู รองก้นกระทงห่อหมก ซอยใส่ข้าวยำหรือนำไปชุบแป้งทอดเป็นกับแกล้ม นอกจากนี้ใบอ่อนนำไปใส่ในแกงกะทิต่าง ๆ เช่นคั่วไก่ คั่วกบ คั่วเขียด ฯลฯ
วิธีการปลูกชะพลู
ชะพลูขยายพันธ์โดยปักชำในดินร่วนซุย รดน้ำให้ชุ่มในระยะที่ต้นกล้ายังไม่แข็งแรง ไม่ควรให้โดนแดดมากนัก จากนั้นก็หมั่นรดน้ำเป็นประจำจะทำให้ต้นชะพลูมีใบและต้นที่สวยขึ้น
เรารู้ว่าสารอาหารหรือสรรพคุณที่มีในใบชะพลูแล้ว เราก็ไม่ควรรับประทานใบชะพลูในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการเวียนศรีษะ หรืออาการเมาได้ และทำให้มีการสะสมของสารออกซาเลท (Oxalate)ในร่างกายสูงขึ้น และยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ครับ