เห็ดเข็มทอง มีลำต้นสั้น ชาวญี่ปุ่นรู้จักรับประทานเห็ดชนิดนี้มานานหลายศตวรรษ จนสามารถเพาะเห็ดจากท่อนไม้แทนการเก็บเห็ดจากป่า และได้รับการศึกษาค้นคว้าต่อจนถึงปี พ.ศ. 2471 Morimoto ก็พบวิธีการเพาะเห็ดจากขี้เลื่อย และพัฒนาเรื่อยมาจนสามารถเพาะเห็ดเข็มทองได้ตลอดทั้งปี ภายใต้การควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พร้อมกันนี้ก็ได้ผสมพันธุ์ใหม่ๆ เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีลักษณะดีตามต้องการ เช่น ดอกเห็ดสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน เจริญเติบโตดี ออกดอกง่าย ผลผลิตสูง มีอายุการตลาดอยู่ได้นาน ดังเช่นสายพันธุ์ที่ใช้เพาะกันอยู่ทุกวันนี้
ความเป็นมาของเห็ดเข็มทองในประเทศไทย
อัจฉรา และสุภาวดี (2535) รายงานว่า กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร โดยอาจารย์ดารา พวงสุวรรณ อดีตผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมวิชาการเกษตร ซึ่งได้เดินทางไปดูงานการเพาะเลี้ยงเห็ดเข็มเงินที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนกันยายน
พ.ศ. 2534 พร้อมกับนำเชื้อพันธุ์เห็ดเข็มเงินเข้ามา ได้ดําเนินการเพาะเลี้ยง ณ กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร ผลการทดลองมีแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้ที่จะเพาะเลี้ยงเห็ดชนิดนี้ได้ใน ประเทศไทย หากได้มีการพัฒนาวิธีการเพาะและห้องเพาะเลี้ยง ให้มีสภาพเหมาะสมคุ้มค่ากับการลงทุน
ข้อมูลทั่วไปของเห็ดเข็มทอง
ชื่อ วิทยาศาสตร์ (Flammulina velutipes (Curt, ex Fr.) Sing.)
ชื่อสามัญ (ไทย) เห็ดเข็มทอง
(อังกฤษ) Enokitake หรือ Golden Mushroom
ชื่อ เชื้อที่บริการ เห็ดเข็มทอง เบอร์ 1 มีลักษณะเส้นใยสีขาว บางส่วนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง-น้ำตาล เมื่ออายุมากกว่า 45 วัน เจริญได้ดีที่อุณหภูมิ 22-26 องศาเซลเซียส ดอกเป็นกลุ่ม ก้านยาว 6-12ซม. หมวกดอกมีขนาดเล็ก 0.5-1.5 ซม. สีของก้านส่วนล่างจะมีสีน้ำตาลดำและอ่อนลงเป็นสีเหลืองจนถึงหมวกดอก ให้ผลผลิตได้ดีที่อุณหภูมิ 8-18 องศาเซลเซียส
ลักษณะประจำพันธุ์ ดอกเห็ดมี ลักษณะเป็นกลุ่ม หมวกดอกโค้งนูนลง สีเหลืองทองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-5 ซม. ก้านดอกสีเหลือง โคนก้านสีน้ำตาลเข้มดำ ก้านยาว 3-12 ซม. พิมพ์สปอร์ (Spore print) สีขาว สปอร์รูปไข่ปลายมนสีขาว ขนาด 5-8 X 3-4 ไมครอน
ลักษณะการเจริญเติบโต
ระยะเส้นใย เส้นใยเจริญบนอาหาร พี ดี เอ มีสีขาวและเต็มจานแก้วเลี้ยงเชื้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 ซม.ในเวลาประมาณ 10 วัน ที่อุณหภูมิ 23±3 องศาเซลเซียส เส้นใยเจริญได้ในที่มืด ดอกเห็ดเกิดบน พี ดี เอ ได้เมื่อเส้นใยอายุ 45±10 วัน และต้องมีแสงสว่าง
ระยะ หัวเชื้อ เส้นใยเจริญเต็มเมล็ดข้าวฟ่างนึ่งฆ่าเชื้อ (100 กรัม) ในเวลาประมาณ 12 วัน ที่อุณหภูมิ 23±3 องศาเซลเซียส
ระยะบ่มเชื้อ เส้นใยเจริญเต็มที่อาหารผสมขี้ เลี่อย (600 กรัม) ในเวลาประมาณ 45 วัน ที่อุณหภูมิ 23±3 องศาเซลเซียส
ระยะออกดอก เห็ดออกดอกเก็บได้ 3-4 ครั้งภายใน 2 เดือน ที่อุณหภูมิ 13±3 องศาเซลเซียส ต้องการแสงสว่าง ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95%
ผลผลิตเฉลี่ย 50-150 กรัม (น้ำหนักอาหารผสมขี้เลื่อย 600 กรัม)
ขั้นตอนการเพาะเลี้ยง เห็ดให้ได้ผลผลิต
1.โรงเพาะ
โรงเรือนเพาะเห็ดเข็มทองที่ดีจะต้องสร้างแบบห้องเย็น ภายใต้หลังคา
สามารถ ควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น อากาศและแสงสว่างได้ดี มีพื้นที่สำหรับกองขี้เลื่อย และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องผลิตไอน้ำ ตู้อบฆ่าเชื้อ เครื่องมือต่างๆ และควรมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองในกรณีไฟฟ้าดับด้วย
2.การเตรียมเชื้อ เห็ด
เชื้อเห็ดสายพันธุ์ที่ตลาดนิยม เลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์ในอาหารวุ้น PDA หรือ PDYA ที่อุณหภูมิ 20 – 25 องศาเซลเซียส แล้วจึงขยายเชื้อลงในเมล็ดข้าวฟ่างหรือขี้เลื่อยผสมรำ 10 เปอร์เซ็นต์ ใช้เป็นหัวเชื้อ
3.การเต รียมวัสดุเพาะ
วัสดุเพาะที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ ขี้เลื่อยผสมรำละเอียด 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้อาจจะผสมแกลบ 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ และอาหารเสริมอื่นๆ ตามความเหมาะสมของเชื้อเห็ดแต่ละสายพันธุ์ ขี้เลื่อยควรรดน้ำกองทิ้งไว้จนน้ำที่ไหลซึมออกมามีใส ในระหว่างกองหมักน้ำควรกลับกองเพื่อความสม่ำเสมอในการชะล้างยางไม้ออกจากขี้ เลื่อย เสร็จแล้วกองให้สะเด็ดน้ำเพื่อเตรียมใช้งานต่อไป ส่วนผสมของวัสดุเพาะควรมีความชื้นอยู่ระหว่าง 58 – 62 เปอร์เซ็นต์
3.1.การเตรียมอาหาร วสัดุที่ใช้ผสมเป็นอาหารเพาะเลี้ยงเห็ดเข็มเงินประกอบด้วย
- ขี้เลื่อยไม้ยางพารา 75 กิโลกรัม
- รําละเอียด 20 กิโลกรัม
- ข้าวโพดบด 5 กิโลกรัม
- นํ้า 60 กิโลกรัม
วัสดุทั้งหมดนี้นำมาคลุกให้เข้ากันอย่างดีจะมี ความชื้น 60-65 % นำอาหารที่เตรียมแล้วนำไปบรรจุในถุงพลาสติกทนร้อน ขนาด 7 x 12 นิ้ว อาจบรรจุในพลาสติกได้อัดให้แน่นจะได้ปริมาณอาหารถุงละ 600 กรัม (วิธีบรรจุ เช่น เดียวกับการเตรียมถุงอาหารเห็ดโดยทั่วไป) ใส่คอขวด (พลาสติก) ปิดจุกสำลี แล้วหุ้มด้วยกระดาษป้องกันสำลีเปียก
4.ภาชนะที่ใช้ เพาะเห็ด
นิยมใช้ขวดพลาสติกทนความร้อนสูง มีลักษณะทั่วไปโดยประมาณดังนี้
ความจุ 1 ลิตร ปากกว้าง 6 เซนติเมตร ใส่วัสดุเพาะหมัก 750 กรัม บรรจุขี้เลื่อยด้วยเครื่องบรรจุ พร้อมทั้งอัดและเจาะรูตรงกลางโดยอัตโนมัติ ปิดปากขวดด้วยฝาพลาสติกแบบมีที่กรองอากาศ
5.การอบฆ่าเชื้อ
อบฆ่าเชื้อขวดขี้เลื่อยที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 4 ชั่วโมง จากนั้น
จึงเพิ่มอุณหภูมิเป็น 120 องศาเซลเซียส หรือจะอบที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 2 ชั่วโมง ก็ได้ ระหว่างที่อบฆ่าเชื้อต้องระวังอย่างให้น้ำไหลเข้าไปในขวดขี้เลื่อย จะทำให้ความชื้นสูงเกินไป เชื้อเห็ดจะเจริญเติบโตได้ไม่ดี หรือเรียกอีกอย่างว่าการนึ่งอาหาร ถุงอาหารขี้เลื่อยผสมที่เตรียมไว้แล้วนี้ นําไปผ่านการฆ่าเชื้อ โดยนึ่งในหม้อนึ่งไม่อัดความดัน อุณหภูมิประมาณ 100 ํC เป็นเวลา 3 ชั่วโมง หรือนึ่งด้วยหม้อนึ่งอัดความดัน อุณหภูมิประมาณ 121 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1-2 ชั่วโมง
6.การใส่เชื้อ
เมื่ออบฆ่าเชื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทิ้งขวดขี้เลื่อยให้เย็นประมาณ 20 องศาเซลเซียส จึงจะใส่เชื้อ การเพาะเห็ดแบบอุตสาหกรรมจะต้องใช้เครื่องมือเป็นส่วนใหญ่ การใส่เชื้อก็เช่นกันจะใส่ด้วยเครื่องโดยใช้เชื้อที่ทำจากขี้เลื่อย ใส่ในอัตราส่วนประมาณ 15 กรัมต่อขวด หรือเชื้อ 1 ขวด ต่อวัสดุเพาะ 50 ขวด หรือใส่เชื้อเห็ดที่เจริญในเมล็ดข้าวฟ่างถุงละ 15-20 เมล็ด
7.การบ่มเชื้อ
นำขวดเพาะที่ใส่เชื้อเห็ดไปตั้งไว้ในห้องที่อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 18 – 20 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิภายในขวดขี้เลื่อยเหมาะต่อการเจริญเติบโตของเส้นใยเห็ด ใช้เวลา 25 – 30 วัน เชื้อก็เจริญเต็มขวด
8.การสร้างตุ่มดอก
เมื่อเชื้อเจริญเต็มขวด ให้เปิดฝาออกแล้วใช้เหล็กปลายแบนงอเหมือนช้อนขุดเอาส่วนหน้าหรือส่วนที่เป็น เชื้อขี้เลื่อยออกให้หน้าเรียบ (ฟาร์มเห็ดใหญ่ๆ จะใช้เครื่องแคะ) นำไปไว้ หรือลดอุณหภูมิห้องลงมาที่ 10 – 15 องศาเซลเซียส (แล้วแต่สายพันธุ์เห็ด) ความชื้น 80 – 85 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องใช้แสงสว่าง รักษาอุณหภูมิและความชื้นให้สม่ำเสมอ ใช้เวลา 5 – 10 วัน ก็จะสร้างตุ่มดอก แล้วเลี้ยงต่อจนดอกเห็ดโผล่พ้นปากขวด 2 – 3 เซนติเมตร